ตอนที่ ๔ "ปรับเปลี่ยนทัศนคติ" (กว่าจะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร)

 


             ล้วก็ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนเวลาอ่านหนังสือให้เหมาะสม.. จากเดิมกิจวัตรประจำวันของพี่ หลังจากกลับจากโรงเรียนถึงบ้านประมาณ 17.30 น. พี่ก็จะรีบออกกำลังกายอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง โดยวิ่งผ่านไปทางหน้าโรงพยาบาลที่คุณแม่ทำงานอยู่ วิ่งเรื่อยไปผ่านหน้าค่าย ตชด.๑๑ (ค่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ) วิ่งเลยไปจนถึงตลาดผลไม้(ตลาดกลาง) และวิ่งไป-กลับแบบนี้สองรอบต่อวัน

             ถ้าวันไหนคุณแม่ขึ้นเวร พี่ก็จะวิ่งและแวะไปให้กำลังใจคุณแม่ในการทำงานที่ตึกฯ เป็นทางผ่านก่อนกลับบ้าน (เหมือนไปบอกคุณแม่ว่า..ลูกชายกลับถึงบ้านแล้วไม่ได้ไปทำตัวเหลวไหลที่ไหน..คุณแม่จะได้ไม่เป็นห่วง) พอกลับถึงบ้านก็จะขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า ขึ้นไปดึงข้อกับราวเดี่ยวที่คุณพ่อทำเตรียมไว้ให้ จากนั้นจะรีบลงมาอาบน้ำทานข้าว และทำการบ้านให้แล้วเสร็จก่อนสองทุ่ม เพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนเนื้อหาบทเรียนในรายวิชาต่างๆ พี่นั่งโต๊ะอ่านหนังสือตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืนทุกวัน (4 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อย) และตื่นนอนตอน 06.00 น. อาบน้ำแต่งตัวและทานข้าวก่อนไปโรงเรียน อาหารมื้อเช้าจำเป็นและสำคัญมากนะครับขอย้ำ!

 

             คุณพ่อจะกระตุ้นปลูกฝังจิตใต้สำนึกของลูกๆหลานๆ เสมอว่า "ให้เชื่อก่อนเถอะว่า..หัว(มันสมองในการเรียน/รู้)ของคนเรานั้นเท่ากัน แต่ความเพียรพยายาม ความอดทน ความมุ่งมั่นและตั้งใจต่างหาก..ที่มันต่างกัน" และสอนว่า.. "การอ่านหนังสือมันก็เหมือนกับการดูหนัง ถ้าเราไม่ดู..เราก็ไม่รู้ จะคุยกับใครต่อใครก็ไม่รู้เรื่อง"

             **ยกตัวอย่าง เช่น นาย A นาย B นาย C และนาย D เป็นเพื่อนกัน นั่งดูหนังเรื่องสไปเดอร์แมน ภาค 1 ด้วยกัน ทั้งสี่คนก็จะคุยถึงฉากต่างๆ ในหนังกันอย่างสนุกสนาน แต่พอมีภาคที่ 2 ออกมา ทุกคนดูด้วยกันหมด ยกเว้นแต่นาย A คนเดียวที่ไม่ได้ดู และต่อมามีภาคที่ 3 ออกมาฉายอีก ปรากฏว่า มีแค่นาย C และนาย D เท่านั้นที่ดู และสุดท้ายก็มีภาคที่ 4 ออกมาอีก มีนาย D เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดู

 
   

              ถ้าทั้งหมดทุกคนคุยกันถึงหนังเรื่องสไปเดอร์แมน ภาค 1 ทุกคนต้องคุยถึงทุกฉากในหนังภาคนี้อย่างสนุกสนานแน่นอน แต่พอคุยกันในฉากของหนังภาค 2 นาย A ย่อมไม่รู้เรื่องแน่นอน ในขณะที่ นาย B, นาย C และ นาย D ก็คุยกันอย่างออกรส มาถึงภาคที่ 3 นาย A และ นาย B ย่อมไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้ไปนั่งดู ในขณะที่ นาย C และ นาย D นั่งดูภาคที่ 3 นี้ก็คุยกันสนุก สุดท้ายภาคที่ 4 นาย D คนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องราวทุกฉากทุกตอนในหนังภาคนี้

              ละแล้วห้วงเวลาของการสอบแข่งขันเข้าศึกษาต่อในสถาบันศึกษาแห่งหนึ่งก็มาถึง ทางคณะกรรมการสอบคัดเลือกได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ให้ยกเลิกการนำเนื้อหาวิชาความรู้ต่างๆ มาใช้สอบ แต่กำหนดให้ใช้เนื้อหาของหนังเรื่องสไปเดอร์แมน ภาค 1 ถึง ภาค 4 มาใช้ในการสอบวัดผลความรู้เพื่อรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อในสถาบันแห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ระหว่าง นาย A นาย B นาย C และนาย D น้องคิดว่าใครจะตอบคำถามและทำคะแนนได้มากที่สุด คำตอบก็คือ นาย D อย่างแน่นอน

 
 
              ห็นมั๊ยครับว่า.. โลกใบนี้มันมีสิ่งที่เรารู้ และไม่รู้ (เราไม่ได้โง่นะครับ) ก็ในเมื่อเราไม่อ่าน ไม่ดู ไม่ใส่ใจ เราก็ไม่รู้ จริงมั๊ย! ในขณะที่เพื่อนๆ ของเรามันอ่าน มันดู มันสนใจ เพื่อนของเรามันก็ย่อมรู้มากกว่าเรา พอมานั่งคุยกันกับเพื่อน..ด้วยความที่เราไม่รู้มากเข้ามากเข้า เพื่อนมันก็เลยให้คำจำกัดความถึงเราด้วยคำๆ หนึ่ง เพื่อนมันก็หาว่าเราน่ะ.. โง่!!! เรื่องมันก็เป็นประมาณนี้ละครับ (งดโลกสวย และอย่าดราม่ากันนะครับ ฮา....)
 
     

"มาร่วมวาดฝัน..ปั้นดินให้เป็นดาว" กับเรา..เดอะเบสท์ คะเด็ต